หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อุโมงค์ทางลอดพัทยา ดีจริงหรือ?

สวัสดีครับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในพัทยานะครับ

วันนี้หลายโรงเรียนได้ปิดเทอมกันแล้ว และหลายๆคนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน หรือหาที่เรียนต่อไปสำหรับน้องๆมัธยมทั้งหลาย

ช่วงนี้ได้ยินข่าวมาหนาหูเกี่ยวกับการปิดช่องจราจรทำอุโมงค์ทางลอดใต้ถนนสุขุมวิทช่วงพัทยากลาง ยาวถึง 2 กิโลเมตรเลยที่เดียว สำหรับใครที่ยังไม่ทราบเรื่องผมขอเกริ่นก่อนเลยว่าโครงการนี้มีการวางแผนการดำเนินงานมาเมื่อกลางปีที่แล้ว และตามกำหนดเดิมจะดำเนินการสร้างอุโมงค์ทางลอดในต้นเดือนกันยายนปี 2555 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากความพร้อมในหลายๆด้าน เลยเลื่อนมาทำการสร้างในเดือนกุมภาพันธ์นี้ตามที่หลายๆคนเห็นสภาพการก่อสร้างไป ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในแผนการแก้ปัญหาจราจรในเมืองพัทยาที่นับวันรถในเมืองพัทยาก็ติดมากจนแทบไม่อยากออกไปไหนเลยทีเดียว รวมไปถึงเพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐิจต้อนรับ AEC นี้ด้วย



ทั้งนี้ก็มีหลายกลุ่มบอกว่านี่แก้ปัญหาหรือสร้างปัญหาเพิ่มเนี่ย ขับรถอ้อมไปอ้อมมาเปลื้องค่าน้ำมันรถนะเฟ้ยย!! ฯลฯ ก็มีทั้งสนับสนุนและสาปแช่ง (ที่ใช้คำนี้เพราะคอมเม้นท์แต่ละอันรุ่นแรงเหลือเกิน) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมืองพัทยาวางแผนแก้ปัญหารถติดในตัวเมือง เคยมีข่าวว่ามีโครงการจะสร้างรถไฟฟ้า แต่ก็มีอันต้องตกไป เพราะส่วนใหญ่มีมติไม่เห็นด้วย เพราะมันจะทำลายบรรยากาศดีๆของเมืองพัทยาไปหมด (ก็แหง่ละ ทำรถไฟฟ้าต้องเวรคืนที่ด้วยนี่นา ใครจะไปยอม มาครั้งนี้ก็เลยแทบไม่บอกอะไรเราเลย) แต่ในข่าวเท่าที่อ่านมาได้มีการนัดพูดคุยและตกลงกับฝ่ายต่างๆรวมไปถึงผู้นำชุมชนแล้วด้วย



ส่วนกำหนดการสร้างอุโมงค์นี้ก็ใช้เวลาทั้งหมด 810 วัน (นับจากวันที่ 25 ก.พ. 57) หรือประมาณ 2 ปีกว่าๆ ไหนๆก็สร้างแล้วก็ให้กำลังใจเค้าหน่อย ถึงแม้ว่าบางคนจะไม่ชอบก็ตาม



แต่สำหรับผม (ส่วนนี้ความคิดเห็นส่วนตัวแล้วนะ ห้ามด่าละ บอกก่อน) ผมมองว่านี่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีอีกทางหนึ่งเลย เพราะผมมองว่าโครงการนี้ส่งผลกระทบต่อคนในชุมชนน้อยกว่าการสร้างรถไฟฟ้า และจากการอ่านข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแทบจะทุกสำนัก โครงการนี้ได้มีการปรึกษาทั้งเจ้าหน้าที่ด้านต่างๆ ทั้ง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค อินเทอร์เน็ต (แคท เทเลคอม,ทีโอที,ทีททีแอนด์ที) และระบบการสื่อสารอื่นๆ ทำให้ผมมั่นใจในระดับหนึ่งว่าน่าจะมีแผนรองรับเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ รวมไปถึงการแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยซึ่งน่าจะมีแผนรองรับเป็นอย่างดี


สุดท้าย การจะพัฒนาสิ่งใหม่ เราอาจจะต้องทำลายสิ่งเก่า แต่เราต้องไม่หลงลืมสิ่งเก่านั้นด้วย

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

LINE บุกตลาดแอพดูทีวีเพื่อคนรุ่นใหม่ เปิดตัว LINE TV

เปิดตัวไปอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 ก.พ.2558) สำหรับ LINE TV แหล่งดูทีวีสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ลานเอเทรียมชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด ซึ่งงานนี้เต็มไปด้วยสื่อมวลชลทั้งด้านบันเทิงและไอที รวมไปถึงเหล่าแฟนคลับของศิลปินที่มาร่วมงานอีกมายมาย


นายณัฐวุฒิ เลิศศรีมงคล ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาด ไลน์ ไทยแลนด์ กล่าวว่า LINE TV คือแหล่งดูทีวีแห่งหนึ่ง สามารถใช้ได้ทั้งในบนสมาร์ทโฟน โดยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น LINE TV ทั้งในระบบ iOS และ Android และบนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ tv.line.me

ซึ่งความพิเศษและแตกต่างสำหรับ LINE TV กับแอพพลิชั่นดูทีวีทั่วไปคือ Exclusive Content อาทิเช่น ศิลปินเกาหลีที่หลายๆคนชื่นชอบทั้ง EXO, Super Junior,Girls' Generation, GOT7 เป็นต้น ก็จะมีรายการหรือซีรีย์มาให้ชมบน LINE TV อีกด้วย



ภายในงานนอกจากเปิดตัว LINE TV แล้ว ยังเปิดตัวซีรีย์ไทยเรื่องแรกที่อยู่ใน LINE TV อีกด้วย คือเรื่อง "STAY ซากะ...ฉันจะคิดถึงเธอ" ซึ่งกำกับโดย ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับซีรีย์ชื่อดัง "Hormons วัยว้าวุ่น" โดยนำแสดงโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, เก้า สุภัสสรา ธนชาต,เจมส์ ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ และ แบงค์ ธิติ มหาโยธารักษ์



เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า จุก (เก้า-สุภัสสรา) หญิงสาวผู้ฝันอยากมีหนังสือของตัวเองสักเล่มในชีวิต เธอคิด Final Project ส่งอาจารย์เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางเกี่ยวกับอาหารการกินที่ญี่ปุ่น จุดหมายปลายทางของเธออยู่ที่ฟาร์มเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดซากะประเทศญี่ปุ่น จุกได้เจอกับ หมี (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) หนุ่มไทยมาดนิ่งแต่ใจดี ผู้หนีมาใช้ชีวิตและทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น หมีเปรียบเสมือนพี่เลี้ยงคอยดูแลจุกในทุกเรื่อง นั่นจึงทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว รวมถึงความรู้สึกดีๆที่มีให้กันก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ แบบไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว



สามารถชมรายการหรือซีรีย์ต่างๆได้ใน LINE TV โดยโหลดแอพพลิเคชั่น LINE TV ได้ใน App Store และ Play Store หรือชมในเว็บไซต์ tv.line.me


Noteproter รายงาน
ภาพข่าว https://www.youtube.com/watch?v=TjgUQ8TWDQo

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มุมมองของคนโลกสวย(งาม) โลกสวย(งาม)อยู่ที่คนมอง



ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนเราก็จะพบแต่คนที่เดินใส่หูฟัง ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์เล่นมือถือ ไม่ค่อยได้คุยกับคนอื่น เหมือนฉันอยู่ในโลกของฉัน สังเกตได้ง่ายๆจากบนรถไฟฟ้า BTS ซึ่งมีให้เหตุได้ทุกรูปแบบ ไม่เพียงแต่ในเมืองกรุงเท่านั้น ในต่างจังหวัดก็ยังเป็น เพราะการสื่อสาร เทคโนโลยี อุปกรณ์ต่างๆถูกลง ทำให้โลกทั้งใบแคบลง หรือนี่อาจจะเป็นวิถีชีวิตของคนยุคสมัยนี้แล้วก็ไม่น่าจะผิดอะไร


ที่ผมหยิบยกแบบนี้มาเพราะว่าผมเป็นคนชอบเดินทาง และน่าจะมีอาการติดโซเชี่ยวนิดๆ(หรือมาก) ไปไหนก็ต้องมีการเช็คอินต่ามที่นั้นๆบ้าง ถ่ายรูปบ้าง (บางส่วนมากจากร้านอาหารต่างๆชอบจัดโปรโมชั่นเช็คอินปุ๊บ รับส่วนลด 10% ปั๊บ!!) ขาดมือถือไม่ได้ ข้อนี้เชื่อว่าหลายคนเป็น ขาดมือถือเหมือนทำอะไรไม่เป็น แต่บางครั้งเราก็ขาดมันเพราะคำๆเดียวคือ ลืม ผมเป็นคนที่เมื่อลืมอะไรไปก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไร (ถ้าสิ่งนั้นไม่จำเป็นอย่างมาก) พอขาดมือถือเราก็กลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวเลยทีเดียว แล้วความโดดเดี่ยวนี้ก็ทำให้เรามองเห็นบางอย่าง นั้นคือ มนุษยสัมพันธ์


คุณลองเงยหน้าพ้นจากจอมือถือขึ้นมาสิครับ คุณจะเห็นคุณตาพาหลานตัวน้อยๆ วัยกำลังซนมากิไอศกรีม ตาหยอกล้อเล่นกับหลานอย่างสนุกสนาน เห็นคู่รักงอนง้อกันเป็นภาพที่น่ารัก หนูน้อยวิ่งเข้ามาพร้อมของเล่นชิ้นใหม่จนชนกับคุณ แต่คุณโกรธเขาไม่ลงหรอกครับเมื่อเห็นหน้าหนูน้อยคนนั้น ช่างน่ารัก ดูไร้เดียงสา ครอบครัวคนจีนแห่กันมาเข้าร้านอาหารที่เรานั่งอยู่ เสียงดังเอะอะโวยวายลั่นร้าน แต่น้ำเสียงไม่ได้มาด้วยความโกรธหรือโมโห แต่มาด้วยน้ำเสียงสดใส ร่าเริงคุยอย่างสนุกสนาน จนบ้างครั้งเรื่องที่เขาคุยกันที่เป็นความลับ คุณอาจจะได้ยินโดยไม่ตั้งใจจากเสียงอันดังลั่นของพวกเขาก็ได้


สำหรับบางคนบอกว่าไม่เห็นทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย แถมยังน่ารำคาญอีกด้วย ผมมีคำๆหนึ่งให้คุณปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเลย คำนั้นคือคำว่า ยิ้ม ต่อไปนี้คุณต้องยิ้มไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไร ละจากหน้าจอ ไม่ตั้งสเตตัสตามติดชีวิตเป็นเรียวไทม์ หันมาคุยกับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน คนรัก หรือแม้กระทั่งคนที่คุณอาจจะไม่รู้จัก(อันหลังต้องระวังด้วย) จงยิ้มไว้แม้ว่าภายในใจของคุณนั้นจะโกรธ โมโห สักเพียงไหน แล้วคุณจะเห็นคุณค่าของการยิ้ม และการคุยกันระหว่างบุคคลจริงๆ


แนวคิดของบทความนี้อาจจะซ้ำซากจำเจ แต่มันคือเรื่องจริงที่คุณปฏิเสธไม่ได้ (อาจได้แต่น้อย) โลกนี้ยังมีมุมสวยงามอยู่อีกเยอะนะครับ อยู่ที่ว่าคุณจะมองมันหรือเปล่า